แวบแรกของการตัดสินใจให้ลูกเรียนดนตรี อาจเกิดจากที่บ้านมีเครื่องดนตรีอยู่แล้ว
ลูกๆ จับๆ เล่นๆ แล้วเราเห็นแวว ก็ถามลูกไปว่าสนใจจะเรียนไหม?
หรือว่าตอนเด็กๆ ที่บ้านมีของเล่นเป็นเครื่องเคาะ เครื่องเป่า หรือจะเป็นออร์แกนแบบเด็กๆ ให้ลูกลองกดลองเล่น เพื่อสร้างความสนุกสนานหรือจินตนาการ ดังนั้นก็ถือโอกาสต่อยอดซะเลย
หรือว่า อาจเป็นปมเล็กๆ ของพ่อแม่ ที่สมัยเด็กๆ ชอบดนตรี แต่ไม่ได้เรียนกับเขาซะที เพราะพ่อแม่สมัยก่อนไม่นิยมให้ลูกเรียน
มันเลยกลายเป็นเรื่องคาใจของผู้ใหญ่ยุคนี้ สุดท้ายก็ไปลงที่ลูก อยากให้ลูกเรียนแทนพ่อแม่ซะงั้น
อีกประเด็นหนึ่งคือ ลูกๆ ไปเห็นเขาเล่นดนตรี เห็นในเอ็มวี หรือไปประทับใจอะไรสักอย่าง เลยมาขอเรียน
หรือไม่ก็ไปเดินห้าง เห็นโรงเรียนสอนดนตรีมากมาย ก็คิดว่าเออมันเท่ดีนะ น่าจะให้ลูกเราเรียนบ้าง อันนี้อยากเรียนเพราะคุ้นเคย
ดังนั้นต้องตอบใจตัวเองก่อนว่า ที่อยากให้ลูกเรียนดนตรีนั้น เป็นเพราะเรา หรือเป็นเพราะลูก
หรือถูกการสื่อสารการตลาดสร้างสภาวะแวดล้อมของการต้องไปเรียนขึ้นมา
ถ้าเป็นเพราะลูกเราต้องหาให้เจอว่าเพราะอะไรให้ได้ แต่ถ้าเกิดจากทั้งสามอย่างก็ไม่ต้องลังเลแล้วหละครับ ลุยเลย
เมื่อตัดสินใจลุย ก่อนจะวางแผนเรื่องของลูก ต้องวางแผนจิตของตัวเองก่อน เรื่องแรก การวางเป้าหมายการเรียนดนตรีของลูก เราตั้งไว้แค่ไหน???
จำได้ว่าครั้งแรกที่ผมพาลูกไปเรียนดนตรี เป้าหมายครั้งแรกของผมวันนั้นคือ แค่ลูกฟังเพลงเป็น และรู้ว่าเพลงเพราะๆ มันเป็นอย่างไร ให้เขามีความสุขกับเสียงเพลงเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่
ไม่ต้องถึงขั้นหูทอง แต่ไม่ใช่หูเพี้ยน แค่นี้ผมพอใจแล้ว
แหม มักน้อยจริงๆ ผมว่าประเด็นผู้ปกครองหลายคนอาจไม่คิดอย่างผม
เป้าหมายแรกนี้อาจจะเปลี่ยนไป หากลูกของท่านเป็นผู้ชาย พวกเราจะรู้กันว่าเด็กผู้ชายที่เล่นดนตรีเป็นมันดึงดูดเพศตรงข้ามใช่เล่นเลย
เป้าหมายของการสร้างเสน่ห์ให้กับเจ้าลูกชายคือเรื่องใหญ่ในใจของผู้ปกครอง
สิ่งที่ผมจะบอกคือ การตั้งเป้าหมายแรกนั้นสำคัญมาก อย่าเพิ่งตั้งความหวังไว้สูง เพราะมันจะกดดันทั้งตัวเองและกดดันทั้งลูกของเรา
ประมาณว่า หวังน้อยจะได้ไม่ผิดหวังไงครับ
แต่ใช่ว่าเป้าหมายของเราจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้นะครับ เป้าหมายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ เป้าหมายที่คุณอาจตั้งได้ต่อจากนี้ ผมจะสร้างตัวเลือกขึ้นมาให้นะครับ
อยากให้ลูกเป็นครูสอนดนตรีเพื่อที่จะมีรายได้ในอนาคต จริงๆ เป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่สองของการวางแผนเรียนดนตรีของลูกผมเลยครับ
ลองคิดดูว่าเมื่อลูกเราโตขึ้น มีหน้าที่การงานตามปกติของเขา วันธรรมดาก็ทำงานไป
ช่วงเสาร์-อาทิตย์เขาอาจหารายได้พิเศษไปสอนตามโรงเรียนหรือตามบ้าน มีรายได้พอจะผ่อนรถผ่อนบ้านได้สบายๆ หากลูกเราขยันขันแข็ง
ประมาณว่าไม่อดตายแน่ๆ ถ้าเป้าหมายนี้เกิดขึ้นในใจ การวางแผนงานต้องชัดเจน แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังแบบละเอียดทีหลัง
อยากให้ลูกเป็นนักดนตรีอาชีพ เอ อันนี้มันต่างจากการเป็นครูสอนดนตรีหรือเปล่า???
ตอบได้เลยครับว่าแตกต่างกันชัดเจน การเป็นนักดนตรีอาชีพไม่ใช่ว่าจะเป็นครูสอนได้
และการเป็นครูสอนก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นนักดนตรีอาชีพได้ และการวางแผนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อยากให้วิชาดนตรีที่ลูกเรียนเป็นความสามารถพิเศษ เวลาไปสอบเข้าเรียนที่ไหน หรือไปสอบชิงทุนที่ต่างๆ การเตรียมการเรื่องนี้ต้องวางแผนแต่เนิ่นๆ บอกตรงนี้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกัน
ยังมีความอยากอีกมากมาย เช่น อยากให้ลูกได้เข้าเรียนในสถาบันดนตรีชั้นนำของประเทศ
อยากให้ลูกกลายเป็นมือหนึ่งของวงการในด้านนั้นๆ หรืออยากให้ลูกมีทางเลือกในสายอาชีพมากขึ้น
แต่ละความอยากที่ว่า ล้วนต้องการการวางแผนทั้งนั้น ดังนั้นผู้ปกครองเช่นเราต้องปรับจิตตัวเอง และหารือกับลูกตลอดเวลาว่า
ความต้องการของลูกและของเราตรงกันหรือเปล่า เรื่องนี้สำคัญมาก หากไม่ตรงกันก็ต้องยึดความต้องการของลูกเป็นหลักก่อน
ไม่อย่างนั้นความฝันร่วมของเรากับลูกจะเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
เรื่องเล่าด้านพาลูกดนตรียังมีอีกเยอะที่ผมจะเล่า ตามติดผมต่อไปนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น