วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

เริ่มให้ลูกเรียนดนตรี ขั้นอนุบาลดีหรือไม่???

โดย พ่อน้องเพลิน

สมัยนี้โรงเรียนปกตินอกจากจะมีหลักสูตรประถมศึกษารูปแบบต่างๆ เยอะแยะให้เลือกเรียน ยังมีหลักสูตรอนุบาลแปลกตามาล่อเงินจากผู้ปกครอง ที่สำคัญนั้นยิ่งส่งให้ลูกเรียนอนุบาลราคาค่าเล่าเรียนก็แพงกว่าค่าเล่าเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ

แหมประเดิมกันซะขนาดนี้ สงสัยการศึกษาไทยจะสร้างความคุ้นเคยให้ผู้ปกครองอย่างเรา ต้องเตรียมตัวสำหรับลูกแต่เนิ่นๆ

แต่ช้าก่อน เรื่องมันไม่ได้จบแค่นั้น มีอนุบาลยังไม่พอ เขายังมีโรงเรียนเตรียมอนุบาลกันอีก เอาเข้าไป พวกที่ส่งลูกเรียนมีสองกลุ่มใหญ่ครับ หนึ่งคือพวกที่ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกจริงๆ กับสองพวกที่อยากให้ลูกได้เตรียมความพร้อม กลัวเรียนไม่เก่ง

ในวงการด้านการเรียนดนตรีบ้านเราก็มีกรณีอย่างนี้เช่นกัน ถ้าคุณคิดอยากจะเรียนกับครูตามบ้าน อยากให้ครูมาสอนที่บ้าน ให้ข้ามตอนนี้ไปเลย แต่ถ้ากำลังตัดสินใจนำลูกไปเรียนดนตรีตอน 3-5 ขวบ แบบที่เขาโฆษณากัน ตอนนี้ไม่ควรพลาดโดยสิ้นเชิง

อย่างที่ผมกล่าวไปในบทต้นๆ หละครับ ภาษาดนตรีโดยเฉพาะโน้ต มันก็เหมือนภาษาอีกภาษาหนึ่ง ยิ่งเรียนตอนอายุน้อย จะมีโอกาสทำความเข้าใจและใช้งานมันได้ดีกว่ามาเรียนเอาตอนโต หรือตอนแก่ ด้วยเหตุผลนี้แหละครับเขาเลยนำบทวิจัยอันนี้มาทำการตลาด และสร้างหลักสูตรขึ้นมาสำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ

สมัยผมเป็นนักข่าว มีโอกาสได้ไปงานแถลงข่าวของผู้บริหารที่มาจากญี่ปุ่น เขาเล่างานวิจัยที่ทำจากประเทศของเขา ตอนนั้นผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สิ่งที่ผู้บริหารนั้นเชื่อยังมีมากกว่านั้น นั่นคือการเรียนดนตรีแบบกลุ่มจะทำให้เด็กรับรู้ได้ดีกว่าเรียนแบบเดี่ยว ซึ่งผมมารับรู้ทีหลังว่า ประโยคนี้มันถูกครึ่งเดียว

แต่ที่แน่ๆ การเรียนดนตรีแบบเตรียมอนุบาลนั้น เป็นลูกเล่นทางการตลาดที่โรงเรียนขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถทำได้ โรงเรียนเล็กๆ หรือพวกสอนตามบ้านยากจะทำได้

ดังนั้นตลาดนี้จำเป็นต้องทำอย่างยิ่ง และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็คือ บรรดาโรงเรียนเตรียมอนุบาลทั้งหลาย เมื่อสามารถรับเด็กเข้าเรียนได้ ก็จะสามารถผลักเด็กเหล่านั้นเข้าสู่โรงเรียนอนุบาลได้เกือบ 100% และสามารถผลักเข้าสู่ เด็กประถมได้กว่า 80%

ดังนั้นในแง่ธุรกิจการได้ส่วนแบ่งการตลาดในจุดนี้ ถือเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น การเรียนดนตรีแบบอนุบาลส่วนใหญ่จะเรียนจากคีย์บอร์ด ถือเป็นการสร้างความคุ้นเคยในเครื่องดนตรีแบรนด์นั้นๆ ตั้งแต่เด็กไปในตัว 

สินค้าพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการปรับเปลี่ยนรุ่นกันตลอดทุกปี ดังนั้น นอกจากจะเป็นการระบายสินค้าในสต็อก ยังเป็นการสร้างลูกเล่นทางการขายให้กับลูกค้าใหม่ทุกปีโดยผ่านโรงเรียนพวกนี้ ดังนั้นถ้าจะเรียนก็ต้องเข้าใจพื้นฐานพวกนี้ให้ดีก่อน

หากสังเกตให้ดีโรงเรียนเตรียมอนุบาลนั้น จะเก็บค่าเทอมแพงกว่าชั้นๆ อื่นๆ มีสาเหตุมาจากการต้องจ้างครูประกบเด็กมากกว่าในชั้นอนุบาลหรือชั้นประถม เนื่องจากเด็กยังเล็กเกินไปที่จะดูแลตัวเองได้

ความน่าสนุกอยู่ตรงนี้ครับ โรงเรียนเตรียมอนุบาลด้านดนตรีกลับเปลี่ยนความคิดตรงนี้ใหม่แล้วใส่ลูกเล่นที่เก๋ไก๋ลงไป แทนที่จะจ้างครูมาดูแลมากขึ้น ก็เปลี่ยนจากครูมาเป็นผู้ปกครองแทน หรือเอาผู้ปกครองนั่นแหละครับมาเรียนพร้อมกับลูก สุดยอดแห่งความฉลาดจริงๆ

ถึงตรงนี้อาจจะอ่านความคิดของผมออกแล้ว ครับ ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเรียนเตรียมอนุบาลทางด้านดนตรีเท่าไหร่ เนื่องเพราะผมเห็นว่ามันมีข้อดีและข้อเสียในตัวของมันอยู่ จะมองแต่ด้านเสียอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมีเด็กที่ถูกปลุกปั้นจากการเรียนแบบนี้ และเป็นเด็กที่เก่งเลยก็มีมาก ผมเพียงแต่บอกว่า ไม่จำเป็นต้องเรียนแบบนี้เด็กก็เก่งได้เท่านั้นเอง

มาว่ากันต่อครับ อย่างที่กล่าวแหละครับ ทางการตลาดของโรงเรียนพวกนี้ก็คือ ตกเหยื่อล่อปลา ดังนั้นค่าเรียนช่วงแรกจะไม่แพงมาก และการได้เห็นลูกเรียนไปพร้อมกับลูกคนอื่น ถ้าลูกเราเล่นได้ดีมันปลื้มอย่างบอกไม่ถูกครับ

แต่ช้าก่อน ผมว่า 90% ของผู้ปกครองที่พาลูกมาเรียนคอร์สแบบนี้ พ่อแม่มักไม่เป็นทางด้านดนตรีเท่าไหร่ เพราะถ้าเป็นอยู่แล้วสอนเองที่บ้านจะดีกว่า

ดังนั้นบ่อยครั้งที่ลูกเล่นไปพร้อมกับพ่อแม่ ลูกเล่นได้แต่พ่อแม่เล่นไม่ได้ก็มี มีเถียงมีงอนกันให้เห็น ออกลูกอายเพื่อน หรือบางครั้งลูกอาจเกิดความเครียดมากกว่าเดิม สภาพการแข่งขันมันเกิดขึ้น แม้บรรยากาศการเรียนจะดูสนุก แต่มันแฝงอะไรอยู่ในนั้นเยอะมาก

โรงเรียนพวกนี้จะมีวัดผล บอกความคืบหน้าของลูกเราโดยตลอด ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นจังหวะ ยังไม่ลงลึกเรื่องโน้ตเพลง ซึ่งกลับกันกับความคาดหวังของงานวิจัยจริงๆ นั่นคือ เด็กจะเรียนรู้โน้ตได้เมื่อตอนเด็กเล็ก กิจกรรมต่างๆ เพื่อแค่เป็นตัวบ่งชี้ว่าเราควรให้ลูกเรียนคอร์สอะไรของเขาต่อจากนี้ไป

ใช้เวลาประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นตามวัยของเด็ก คราวนี้แหละคุณก็จะกลาย เป็น cash cow ให้กับสถาบันดนตรีนั้นๆ โดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นค่าเรียน ค่ากิจกรรม ค่าสอบ ค่าจัดแข่ง ค่าติวเตอร์ ถ้ามีเงินก็ไม่น่ามีปัญหา แต่สำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยที่อยากให้ลูกเรียนดนตรี

ผมว่าแบบนี้มันโหดร้ายเกินไปหน่อย หลายคนถึงกับยอมถอยกันเลยนะครับ ดังนั้นต้องเตือนกันไว้แต่เนิ่นๆ 

ผมยืนยันว่าการสอนดนตรีมันเป็นธุรกิจ ต้องมีกำไรขาดทุน โรงเรียนสอนดนตรีไม่ใช่สถาบันการกุศล เจ้าของต้องอยู่รอด ครูที่มาสอนต้องกินต้องใช้ ความหวังดีที่จะให้ลูกเราเก่งดนตรีนั้นมีอยู่ แต่การที่จะเป็นครูดนตรีแบบเก่า ที่มาทุ่มเวลาให้กับศิษย์แบบทั้งกายและใจ มันไม่มีอีกแล้ว

ดังนั้นโปรแกรมทางการตลาดเพื่อสร้างรายได้มันเป็นเรื่องจำเป็น คิดแบบนี้เราจะได้รับมือกับมันถูก

สรุปตรงนี้ก็คือ ถ้าคุณมีเงินเพียงพอ และเห็นว่าการเข้าเตรียมอนุบาลดนตรีจะทำให้เกิดกิจกรรมที่ดีระหว่างพ่อแม่ลูก ทำให้ได้ใกล้ชิดระหว่างกันมากขึ้น และเห็นแววเด็กแบบตรงๆ ไม่ต้องฟังจากปากครู หรือคนอื่น ส่งลูกเข้าเรียนได้เลย

แต่ถ้าไม่รีบร้อน 5 ขวบ รอให้สรีระได้ แล้วให้ลูกเรียนในโรงเรียน ที่ใช่ เจอครูที่ชอบ เรียนไปตามแผนที่เราวางไว้ เด็กก็เก่งได้ไม่ยากครับ 

อีกเรื่องก็คือ หากอยากให้เก่งดนตรีเรียนเตรียมอนุบาลพอมีเหตุผล แต่อยากให้เก่งดนตรีชิ้นไหน เช่น อยากให้เก่งเปียโน ให้เรียนเปียโนไปเลยครับ อย่าไปเรียนหลักสูตรพวกนี้เป็นอันขาด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น