ถ้าลูกเดินมาบอกคุณว่าจะเรียนดนตรี ผมต้องบอกเลยว่ากว้างมาก
เราจะรู้ได้ยังไงครับว่า ในบรรดาเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า ทั้งสี่หมวดใหญ่ลูกเราจะเลือกด้านใด และอะไรเหมาะกับเขามากกว่า
ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ต้องบอกว่า ก็เขาชอบอะไรก็ให้เรียนไปก่อน เดี๋ยวเขาก็หาตัวเองเจอจนได้
ตอบแบบนี้อาจทำให้คุณเสียเงินในกระเป๋าไปหลายหมื่น พร้อมกับความหงุดหงิดใจ จนท้ายที่สุดลูกอาจเอาดีอะไรไม่ได้สักอย่าง
ถ้าจะตอบแบบกวนหน่อยก็คือ ไปหาหมอดูเลยไหมครับ ว่าลูกควรเรียนอะไร
ผมเชื่อว่าถ้าไม่ใช่หมอดูเทวดาคงตอบไม่ได้ว่า ลูกเราควรจะคู่กับเครื่องดนตรีชิ้นไหน
แล้วต้องตอบแบบมีหลักการต้องตอบแบบไหน ขอเอาวิทยาศาสตร์มาจับหน่อยแล้วกัน
ก่อนอื่นลองสังเกตลูกของเรากันก่อนดีกว่าครับ เริ่มจากสรีระ ประการแรกตอนที่ลูกๆ พูดกับเรา
เอาแบบธรรมดาเลยนะครับ แกออกท่าทางหรือเปล่า นั่นคือเวลาพูดชอบยกไม้ยกมือแสดงท่าทางประกอบ
แบบว่าถ้าจับมือเอาไว้แกจะหงุดหงิดพูดไม่ออก ถ้าเป็นแบบนี้เขาเรียกว่า ร่างกายของเขาโดดเด่นในเรื่องกล้ามเนื้อมัดใหญ่
เด็กพวกนี้จะเรียนเครื่องดนตรีตระกูล ตี หรือพวกกลองชุด กลองเพอร์คัทชั่น และอื่นๆ ในหมวดนี้ได้ดีมาก
แต่หากดูเรียบร้อย ชอบหยิบจับเครื่องมือเล็กๆ มาเล่น ลักษณะนิ้วมีความยาวเรียว
เด็กพวกนี้มักจะมีความสามารถในกล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดี เครื่องดนตรีที่เหมาะกับพวกเขาคือ เปียโน กีตาร์ อูคูเลเล่ ฯลฯ หรือก็คือพวกดีดทั้งหลายนั่นเอง
ส่วนพวก “สี” อย่างพวกไวโอลิน วิโอลา ฯลฯ พวกนี้ต้องเก่งทางด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก ผสมกับกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มือซ้ายเป็นมัดเล็ก มือขวาเป็นมัดใหญ่
แต่ไม่ต้องมาก จะเน้นไปทางกล้ามเนื้อมัดเล็กมากกว่า และที่สำคัญอุปกรณ์พวกนี้มันจะฝืนสรีระธรรมชาติ ดังนั้นหากจะเล่นต้องดูแลกันเป็นพิเศษ
พวกสุดท้ายคือ “เป่า” จริงๆ อุปกรณ์ตัวนี้เด็กๆ ที่เริ่มเล่น อาจจะไม่สนใจมันเท่าใดนัก ส่วนใหญ่ที่เลือกเล่นมักถูกครูในโรงเรียนจับไปลอง
ยิ่งโรงเรียนที่มีวงโยธวาทิตด้วย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องเคาะกับเครื่องเป่า พวกนี้ต้องใช้ลม และต้องอดทนสูงมาก ที่สำคัญรูปปากของเด็กมีผลต่อการเลือกอุปกรณ์เครื่องเป่ามาก เพราะเครื่องเป่าจะมีสองแบบใหญ่ๆ คือ แบบมีลิ้น กับไม่มีลิ้น
แบบมีลิ้นก็อย่างแซกโซโฟน แบบไม่มีลิ้นก็พวกทรัมเป็ต ทั้งสองอย่างใช้รูปปากเก็บลมในการเปาไม่เหมือนกัน
พวกริมฝีปากหนาพวกนี้เหมาะกับแบบมีลิ้น เพราะจะเก็บลมได้มาก และเก็บได้หมด
พวกริมฝีปากบางจะมาเล่นพวกนี้อย่าได้หวังจะเก่งขึ้นมาได้ เพราะจะเจ็บปาก ริมฝีปากจะแตก ควรไปเล่นแบบไม่มีลิ้นจะดีกว่า
เอาหละสิ แค่ดูเรื่องสรีระอย่างเดียวก็วุ่นวายแล้ว การสังเกตอาจเป็นเพียงมุมมองหนึ่งเท่านั้น จะมีอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์บอกเราได้มากกว่านี้หละ
ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อนผมก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไร แต่เมื่อถึงยุคดิจิตอลขนาดนี้แล้ว เรื่องนี้มันมีคำตอบครับ
ผู้ปกครองหลายท่าน คงเคยได้ยินเรื่องของการสแกนนิ้วบอกความสามารถแรกกำเนิด มาบ้างแล้ว ใครที่ไม่เคยก็รับทราบกันไปเลยนะครับ
ในเมืองไทยตอนนี้มีเปิดให้บริการหลายราย บางรายเหมาะกับผู้ใหญ่ แบบว่าหาทีมทำงานร่วมกัน บางรายเหมาะสำหรับเด็ก เพราะจะบอกจุดเด่น จุดด้อย และแนวทางการพัฒนาของเด็กในด้านต่างๆ ผมแนะนำให้ใช้บริการอย่างหลังครับ
ในกรณีสแกนนิ้วของเด็กก็มีหลายบริษัทนะครับ ดูให้ดี พยายามเน้นตัวซอฟต์แวร์ที่บอกเรื่องการใช้กล้ามเนื้อมัดต่างๆ ด้วย
ผมเองก็พาลูกไปสแกนมาเหมือนกันได้คัมภีร์การพัฒนาลูก ซึ่งต้องบอกว่าเป็นแบบ Customize หรือเฉพาะตัวเด็กเท่านั้นมาหนึ่งเล่ม
คัมภีร์นี้ผมก็จะเอาไปให้ครูที่สอนลูกผมได้ เรียนรู้ว่า หากจะสอนลูกผมให้ถูกหลักควรจะสอนแบบใด
อันนี้ต้องถือว่าเป็น Tool หรือเครื่องมือที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดแล้ว เพราะมันจะนำลักษณะของ เด็ก ที่ผ่านการคำนวณจากถังข้อมูลกว่า 10,000 รายทั่วโลกมาประมวล
ผมบอกได้ตรงนี้วา มันไม่ใช่ หมอดู และตัวบทวิเคราะห์จะมีความแม่นยำเกือบ 80% เลยทีเดียว
แต่ถ้าเราสังเกตออกตั้งแต่แรก tool ตัวนี้เราจะไม่ใช้ก็ได้นะครับ
แต่ที่ผมแนะนำก็คือ การลงทุนสแกนนิ้วเด็กนั้นใช้เงินไม่กี่พันบาท มันคุ้มมากกว่าการที่เราลองผิดลองถูกในเรื่องการเรียนดนตรีของลูก
คอร์สหนึ่งก็ครึ่งหมื่น หรือไม่ก็ถึงหมื่น ไหนจะเครื่องดนตรี ไหนจะเวลาที่เสียไป ลองแล้วไม่เจอนี่มันเสียไปฟรีๆ นะครับ
หากสมมติเราไม่เอาเครื่องมือ และสังเกตอย่างไรก็ไม่ออก ก็เลือกกันที่ความชอบกันก่อนเลย
ทางที่ดีเรื่องนี้ถือโอกาสให้มันเป็นประเด็นในการที่เราได้พูดคุยกับลูก สอบถามลูกกันตรงเลยครับว่าที่อยากเล่นเครื่องดนตรีชิ้นนี้เพราะอะไร พ่อแม่ยัดเยียด หรือได้ยินแล้วมันไพเราะ หรือมันเล่นง่าย เห็นเพื่อนเล่นแล้วอยากเล่นบ้าง ไปติดใจศิลปินคนไหนมา
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้แรงบันดาลใจของลูกเป็นสิ่งสำคัญในการที่เขาจะก้าวข้ามความยากลำบากของการเรียนดนตรีต่อจากนี้ไป
ไม่แน่คุณเองอาจเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์แรงบันดาลใจให้กับเขาได้โดยไม่รู้ตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น