หลังจากเลือกโรงเรียนเปียโนให้ลูกกันได้แล้ว
นอกจากหน้าที่ในการจ่ายเงินไปรับไปส่ง
เรายังมีหน้าที่ในการตัดสินใจอะไรอีกหลายอย่าง
เพราะกระบวนการต่างๆไม่ได้จบตอนที่พาลูกไปสมัคร
มาดูกันซิว่าอะไรบ้างที่เราต้องทำและตัดสินใจ
1. บอกไปเลยว่าเรียนเปียโนอย่างเดียว อันอื่นไม่ต้องมาเสนอ
สาเหตุที่ต้องบอกอย่างนี้เพราะบางคนเอา ลูกเล็กไปเรียน โรงเรียนก็มักจะเสนอว่าเข้าคอร์สพิเศษก่อนดีมั๊ย
ประเภทไปเคาะจังหวะ รู้จักเครื่องดนตรี อะไรทำนองนี้
หรือไม่ก็ขอทดสอบว่าจะเรียนเปียโนได้หรือไม่ ผมขอยืนยันตรงนี้ว่า อย่าลังเล
เด็กทุกคนเรียนเปียโนได้ และไม่จำเป็นต้องไปเข้าคอร์สล่วงหน้าก่อน
ถ้าเราและลูกตัดสินใจว่าเปียโนคือคำตอบสุดท้าย ถ้าโรงเรียนไม่ยินดีสอนก็ถอยออกมา
ไปหาที่อื่นเรียน
2. เรียนเดี่ยว ไม่เรียนกลุ่มหรือเรียนคู่ การเรียนเปียโนไม่ใช่เรียนคีย์บอร์ดที่จะเอามากองรวมกันในห้องเดียวกันได้
การเรียนกลุ่มในแง่ปฏิบัติของเปียโนจึงทำได้ยากมาก
ถ้าโรงเรียนไหนเสนอให้เรียนกลุ่มให้คิดไปก่อนเลยว่าลูกเราไม่ได้เรียนเปียโนแน่
และจริงๆ ครูเปียโนจะทำหน้าที่เหมือนโค้ชมากกว่า ไม่ควรมาเล่นให้ดูทุกชอต
แต่เขาต้องบอกความถูกต้อง ความผิดพลาดและแนวทางแก้ไขให้ลูกเราได้
ดังนั้นการจะทำอย่างนั้นได้ครูต้องอยู่กับลูกเราคนเดียว สังเกตสิ่งที่ลูกเราเล่น
สังเกตท่าทาง ความรู้สึก อารมณ์ ความเข้าใจ และอื่นๆ เพื่อนำมาปรับปรุงให้ถูกต้อง
การเรียนคู่แม้จะเสียค่าเรียนถูกลง
ดูเหมือนจะคุ้มค่ากว่าเพราะอยู่กับเครื่องตั้งหนึ่งชั่วโมง แต่เสียเงินน้อยลง
แต่อย่าลืมว่าครูเดินเข้าเดินออก วิ่งไปห้องนั้นที ห้องนี้ที
ต้องเป็นครูที่เก่งมากจึงจะโค้ชนักเรียนให้เก่งได้ ทางที่ดีอย่าเสี่ยงครับ
ยอมเสียเงินเต็มจำนวนแล้วเรียนเดี่ยวจะดีกว่า ถ้ารักจะเรียนเปียโนจริงๆ
3. เตรียมพร้อมตรงเวลา คนมีลูกมักจะรู้ว่าเด็กๆ
นี่เวลาจะงัดจากเตียงมาเรียนหนังสือนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายของพ่อแม่เลย
ถ้าลูกเราเป็นเช่นนี้อย่านัดเรียนเปียโนเวลาเช้าให้พวกเขาครับ
เดี๋ยวจะเบื่อไม่อยากเรียนซะก่อน เราต้องลูกเวลาที่สบายที่สุดของลูก
เมื่อได้เวลาต้องไปให้ตรงเวลา หรือควรไปก่อนเวลาสักครึ่งชั่วโมง
ถ้าให้ดีบอกลูกไปเลยว่า เราเสียเงินให้ลูกเรียนเปียโนชั่วโมงละเท่าไหร่
ถ้าเราไปสายเราจะเสียเงินฟรีนาทีละเท่าไหร่ และถ้าไปถึงก่อนเราจะมีเวลาซ้อม
วอร์มนิ้วได้ก่อน เพราะส่วนใหญ่ลูกๆ ก็จะไม่ค่อยซ้อมที่บ้านอยู่แล้ว
มาโรงเรียนส่วนใหญ่ก็เอาซะหน่อย ยิ่งถ้ามาถึงก่อนไม่มีอะไรทำยิ่งดี
นอกจากเรื่องเวลาแล้วการเตรียมพร้อมอย่างอื่นก็แล้วแต่โรงเรียนนะครับ
บางแห่งซีเรียสเรื่องการแต่งตัว ต้องสุภาพ บางแห่งไม่มีอะไรมาก สอนได้หมด
เราก็ต้องรู้ไว้ อ้อ เรื่องเล็บอย่าลืมนะครับ ตัดให้สะอาด
ไม่อย่างนั้นมีปัญหากับการเรียนมาก หลายครั้งครูต้องสั่งให้ตัดเวลานั้นเลย
คิดดูเสียเวลาเรียนนาทีละเท่าไหร่มาตัดเล็บ เตรียมการไปให้เสร็จเลยครับ
4. เทคนิคการเตรียมตำราเรียน หลังจากได้ตำราเรียนจากโรงเรียนแล้วสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะเจอก็คือ
สภาพของหนังสือที่ลูกเรียนถ้าเป็นเด็กเล็กจะยิ่งมีตัวประหลาด เช่น การ์ตูน
หรืออะไรต่อมิอะไรมากมายที่เป็นกริมมิคหลอกล่อของครูในการสอนให้เด็กจำ
เปื้อนอยู่ในหนังสือเต็มไปหมด ในแง่ความทรงจำผมก็ว่ามันดี มันช่วยสร้าง story
เวลาลูกเรากลับมาดู และเวลาทบทวนก็ง่าย เพราะจะจำเหตุการณ์นั้นๆ ได้
แต่ตำราหลายเล่มนั้นมักจะต้องเอาไว้ใช้สอบด้วย
การสอบเขาห้ามขีดเขียนอะไรในโน้ตนั้นๆ ดังนั้นเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ก็คือ
จับเอาหนังสือเรียนไปถ่ายเอกสารเป็นเล่ม เข้าปกให้เปิดง่าย
เพราะหนังสือเรียนหลายเล่มเวลาต้องกางออกตรงชั้นวางของเปียโน จะต้องหาอะไรมาทับ เพราะมันกางออกได้ไม่สุด ดังนั้นข้อดีด้วยประการทั้งปวงคือ
ถ่ายทั้งเล่ม เอาเล่มถ่ายเอกสารมาใช้เรียน เก็บหนังสือเรียนจริงเอาไว้สอบ
อยากเขียนอะไรก็เต็มที่เลย แถมยังกางออกมาใช้ง่าย
ที่สำคัญกันลืมเวลาดึงออกจากกระเป๋ามาซ้อมที่บ้านได้อีกด้วย
5. วางแผนซ้อมให้เป๊ะ การเรียนเปียโนและดนตรีทั้งหลายมันต้องซ้อม แต่เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน
การวางแผนซ้อมเพื่อรองรับเด็กก็ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ต้องนั่งปรึกษากับครูผู้สอน
กางเวลาของเด็กออกมาให้กับครูได้ดู ลูกเลิกเรียนเวลาไหน กลับถึงบ้านแล้วทำอะไรบ้าง
ควรซ้อมกี่โมง วันละเท่าไหร่ สัปดาห์นี้จะซ้อมเรื่องอะไร เด็กบางคนซ้อมได้ เล่นได้
จบ ไม่กลับมาซ้อมแล้ว, เด็กบางคนชอบเล่นซ้ำไปซ้ำมา สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง,
เด็กบางคนไม่ซ้อมเลย เราต้องรู้พฤติกรรม เราต้องรู้กิจกรรมอื่นๆ ของลูก
เพื่อไม่สร้างความเครียดให้กับเด็กมากเกินไป
การที่เขาไม่ซ้อมนั้นไม่ใช่เขาจะผิดเสมอไป ดังนั้นทางที่ดีเราเองก็ต้องมาช่วยฝึกให้เขาวางแผนชีวิต
และมีวินัยในตัวเองมากขึ้น โดยใช้ดนตรีนี่แหละครับ
จบ 5 ข้อแรกจะเห็นว่า
เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่เราไม่รู้ เพราะเป็นปัญหาเทคนิค แต่บางเรื่องก็เป็น เรื่องของการวางแผน
เป็นเทคนิคที่เราใช้ในชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อยๆ
แต่รายละเอียดเหล่านี้จะมีผลต่อชีวิตลูกๆ ของคุณมาก
เราอย่าคิดว่าการส่งให้ลูกไปเรียนดนตรี ยัดไปให้ครูอย่างเดียว ช่วยดูแลลูกเรา
แล้วจบ เราเองก็ต้องเอาใจใส่ มองสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพื่อทำให้ลูกเราได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ไปด้วย
ติดตาม 5 ข้อสุดท้ายในตอนหน้าครับ